เที่ยวนิวซีแลนด์ มุมมองของคุณค่า

พบกันเป็นตอนที่สามแล้ว สองตอนที่ผ่านมาสำหรับคนอยากไปเที่ยวรถบ้าน สำหรับตอนนี้ เป็นตอนสำหรับเล่าประสบการณ์ที่พบเจอถึงไอเดียที่พบเจอที่นิวซีแลนด์แล้วรู้สึกชอบ เลยนำมาฝากกันครับ ที่นี่เป็นเมืองที่มีเสน่ห์มากๆ ทำให้นึกถึงบ้านนอกเรา เพียงแต่ในด้านนึง ผมก็รู้สึกถึงความเป็นบ้านนอกแบบเจริญแล้ว (ดัชนีชี้วัดมาจากสภาพห้องน้ำส้วมหลุม เมื่อเทียบกับบ้านเรา)

แปรงขัดรองเท้าคล้ายๆ แบบนี้ ไปพบเจอครั้งแรกตอนไป Fox Glacier คนที่นี่จะให้ความใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมแบบมากจริงๆ ตอนไป Fox Glacier ที่เป็นภูเขาน้ำแข็งไส มีเด็กคนนึง กินถั่วแล้วหก กระจาย หลังจากที่หัวหน้าไกด์ที่พานำทางบนภูเขาน้ำแข็งมาเห็น เขาก็เปิดกระเป๋าไปควานหาถุง แล้วก็เอามือเปล่าๆ ของเค้า ค่อยๆ โกยเศษถั่วที่กระจายไปทั่วพื้นน้ำแข็งมาลงถุง อันนี้ผมประทับใจมากจริงๆ

ก็ไม่ใช่แค่ที่นี่เท่านั้น เราไปที่ไหน ไม่พบขยะเล็กขยะน้อยเลยในเขตชนบทบ้านเค้า ทำให้เรารู้สึกว่า คนที่นี่ใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมเอามากๆ ส่วนเราเอง ก็เก็บขยะทุกชิ้น เศษ M&M ที่ตกพื้น เศษทาโร่ตกพื้น กลับมาทิ้งด้วย ซึ่งยอมรับกันตามตรงว่า ถ้าเป็นบ้านเรา ถ้ามันอยู่กลางป่า เศษเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ เราก็อาจจะปล่อยไปเลยตามเลย เขี่ยไปเข้าโพรงหญ้าบ้างปล่อยให้มันสลายไปตามธรรมชาติ

แต่จริงๆ ในเขตเมืองที่คนอยู่เยอะๆ ก็พบขยะที่ตกพื้นอยู่บ้างนิดหน่อย ไม่ได้ถึงกับว้าว ขนาดเมืองยังสะอาดแจ๋วอะไรขนาดนั้น แต่ก็เห็นคนที่ถือ ไม้ยาวๆ ตามเก็บขยะอยู่ด้วย

กลับมาที่หญ้า เค้าจะค่อนข้างกังวลเรื่องโรคของพืช และ การกระจายของดินที่ไม่ได้มาจากพื้นที่ของตัวเองมาก (ตามสถานที่ต่างๆ จะมีป้ายที่บอกให้ช่วย) นอกเหนือจากไอเท็มนี้จะช่วยให้รถเราสะอาดแล้ว ก็ยังทำให้ดินที่อยู่บริเวณไหน ก็ยังคงอยู่บริเวณนั้นด้วย

การให้ความใส่ใจกับธรรมชาติ มันก็เลยทำให้ธรรมชาตินั้นสวยงามแบบมีออร่าออกมาด้วยละมั้ง บางสถานที่จริงๆ แล้วเมืองไทย ก็อาจจะมีสถานที่แบบนั้นอีกมากมาย แต่ไม่ได้รับการดูแล หรือไม่ได้มีเห็นคุณค่า หรือ คุณค่าที่คนมองเห็น ไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาให้จับต้องได้ แม้เพียงต้นไม้เพียงหนึ่งต้นที่ขึ้นอยู่กลางทะเลสาป ก็กลายเป็นต้นหมายที่เป็น Talk of the town ที่ทุกคนจะต้องมาเยี่ยมเยียนให้ได้เมื่อแวะมาที่เมืองแห่งนี้

That’s Tree @ Wanaka

ความสมบูรณ์ของธรรมชาติ คุ้นๆ ว่าใครสักคนบอกว่า สำหรับป่า ให้สังเกตถึงกล้วยไม้ หรือ มอสที่ขึ้นอยู่ตามข้างทาง การเดินทางไปนิวซีแลนด์ครั้งนี้ เรามีโอกาสได้ไปเดิน Trail ในป่าบางแห่งด้วย ป่าดิบชื้นนั้นจะเป็นภาพบรรยากาศที่เราเห็นได้ที่บ้านเรา ทีนิวซีแลนด์ เราจะเห็นภาพของ ทะเล ภูเขา ท้องฟ้า อยู่บ่อยๆ ทุ่งหญ้าเป็นบางพื้นที่ ส่วนป่าที่เป็นป่าดิบๆ นั้น เราได้มีโอกาสไปแวะชมประมาณแห่งสองแห่ง ซึ่งความสมบูรณ์ของป่า ก็มีอยู่มากทีเดียว สังเกตจากส่วนที่เล็กที่สุดนั้น ยังคงความงดงามแบบไม่มีสิ่งใดมาทำลายมัน

ดอกเล็กๆ ที่ขึ้นอยู่ตามข้างทาง ที่พบเห็นได้ในป่าแห่งนี้
ไม้ที่ตัดที่นี่ ที่เหมือนเพื่อสร้างทางเดิน ถูกทิ้งไว้ข้างๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่า เมื่อเวลาผ่านไปก็เป็นสีเขียวปกคลุมสวยงาม

บางเมือง ยังไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ดังนั้น อินเตอร์เน็ตก็คงยังไม่ต้องพูดถึง สิ่งที่พบเห็น ณ ท่าเรื่องของ Milford Sound คือจานดาวเทียมขนาดใหญ่ ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งเดียวที่เอาไว้สื่อสารกับโลกภายนอกท่าเรือที่เงียบสงบที่นี่

ความสมบูรณ์ของป่า อาจจะหาได้ในบ้านเรา สำหรับ ป่าปิดที่เปิดเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว จำได้ว่าที่นึงที่ผมเห็นความงดงามของป่าปิดเมืองไทย คืออย่างเช่น ดอยหลวงเชียงดาว ที่ตอนนี้ โดนไฟป่าลุกลาม จนรู้สึกสลดใจกับความสูญเสียของป่า แต่สิ่งนึงที่หาไม่ได้แล้วในบ้านเรา คือ ลำธารที่ผ่าใจกลางเมือง Queentown ที่คงไว้ซึ่งความใส และไร้เศษอนูใดๆ โดยที่มีเป็ดเป็นเพื่อนเล่นอยู่ใจกลางเมือง หวนย้อนกลับมาคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากกรุงเทพเรา มีลำธารไหลกลางเมือง และมีสวนขนาดเล็กให้พักผ่อน บ้านทั้งหมดไม่ปล่อยน้ำเสียลงลำธาร มันคงจะทำให้เปลี่ยนจาก เมืองเพื่อทำงาน เป็น เมืองเพื่อใช้ชีวิตมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมากแน่ๆ

การที่คนใช้ชีวิตแบบไม่ต้องบังคับนี้ ผมคิดว่า แต่ละคนต้องมีการให้คุณค่ากับเมืองเป็นอย่างมาก เราคงไม่จำเป็นต้องปักป้ายเตือนเป็นพิเศษ เราไม่ต้องมีกฏมากมาย ถ้าหากคนรู้ว่า เราจะให้คุณค่ากับสิ่งที่มีอย่างไร ย้อนกลับมาดูที่ทาง Trekking และเวลาจอดรถที่ Campsite บาง Campsite ก็เป็นแม่กุญแจเข้ารหัสที่คนจะมาพักก็ไขกุญแจกันเอาเองนะ ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่อยู่ด้วย ผมว่านี่เป็นอะไรที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน อะไรคือการที่ให้กุญแจบ้านไขเข้าไปใช้พื้นที่เอาเอง อะไรคือการตั้งกล่องให้ใส่เงิน โดยที่ ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่มานั่งเก็บค่าผ่านทางทางเข้า ก็ไม่รู้ว่ามีคนที่ไม่จ่ายบ้างหรือเปล่า แต่ผมคิดว่า ทางการเองก็ให้คุณค่ากับคนที่มาเที่ยว ว่าเป็น ชนชั้นที่เคารพสิทธิ เฉกเช่นเดียวกันกับที่เค้าอนุญาตให้ทำอะไรหลายๆอย่างที่ไม่มีเมืองไหนในโลกให้ทำกัน เช่น Freedom Camping

ก่อนเดินทาง ก็จ่ายเงินหยอดเหรียญเข้าตู้กันให้ด้วยนะ
Campsite แห่งนึงที่เราไปพัก มีเพียงแม่กุญแจเข้ารหัส ที่คนที่จะมาพัก กรุณาปิดประตูและเปิดประตูเอาเอง

ถ้าพูดถึงแล้ว ในเชิงวัตถุ บ้านเรา กลับมีความเจริญนำหน้าประเทศนี้อยู่หลายอย่าง เรามีสิ่งของต่างๆ มากมายที่ล้ำหน้ากว่าเค้ามาก แต่การบำรุงรักษา หรือการใส่ใจกับสิ่งที่มีอยู่ จนสิ้นอายุไขนั้น ผมว่าเป็นสิ่งที่นิวซีแลนด์ทำได้ดี อย่างเช่น น้ำเสียสำหรับรถบ้าน แม้ว่า ปกติโดยส่วนใหญ่ จะต้องสายต่อท่อไปทิ้งในบริเวณที่ใช้สำหรับระบายน้ำเสียโดยเฉพาะ แต่อย่างบาง Campsite ที่เราไปพัก ก็ใส่ใจกับการระบายน้ำเสีย จนแค่ เราสามารถเอารถไปจอดให้ตรงตำแหน่งแล้วก็ปล่อยน้ำลงรางได้เลย อันนี้ผมว่าเค้าออกแบบมาดีมาก คือ ไม่ต้องไปวุ่นวายต่อสายละ แค่จอดให้ตรงก็พอนะ

เรามีโอกาสได้ไปดูจุดสิ้นอายุขัยของของ ที่คนโละ แล้วก็มีคนที่รับทุบบ้าน เค้าเอามารียูสได้อย่างสวยงาม ด้วยการเอาของทั้งหมดที่ดูเหมือนจะไร้ค่าแล้ว จากการทุบทิ้ง ทำลายทิ้ง เอามาเรียงร้อยเป็น เรื่องราวในพื้นที่ที่ชื่อ Demolition Yard ที่ที่แทบจะเหมือนพิพิษภัณฑ์ของเก่า ที่มีแต่ของโบราณ แต่ถ้ามาเย็นหน่อย อาจจะมีความน่ากลัวเหมือนอยู่ในเมืองผีดิบ ยังไงยังงงั้น ถ้ามีเวลาก็ลองแวะไปชมดู


จากที่บอกไว้จุดเริ่มต้นว่าที่นี่เป็นเหมือนชนบทที่พัฒนาแล้ว เป็นเมืองที่ ห้องน้ำสาธารณะ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว แต่ละที่จะมีความเฉพาะตัว บางที่ แค่ล้างมือก็จะกดชักโครกให้อัตโนมัติ บางทีมีเพลงบรรเลงระหว่างทำธุระด้วย บางที แม้จะเป็นส้วมหลุม แต่ก็ยังคงความสะอาดไว้ได้ อันนี้เป็นเรื่องที่รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ตามเก็บห้องน้ำแต่ละที่ ที่บางที่ มีเสียงยินดีต้อนรับ หรือประตูอัตโนมัติอีกด้วย

ถังแก๊สที่นี่ สามารถเติมได้ที่ปั๊มน้ำมันบางแห่ง ที่ที่เติมไม่ได้ ก็จะใช้วิธีการเปลี่ยนกับถังที่มีอยู่แทน อันนี้ค่อนข้างแตกต่างจากบ้านเรา ที่จะมีเป็นร้านเฉพาะสำหรับแก๊สหุงต้ม ไม่ได้ขายในปั๊มน้ำมันเหมือนกับที่นี่

วิว ควรเป็นของเมือง และ จุดชมวิว ก็เช่นกัน บางจุดชมวิวก็จะมีม้านั่งให้เราได้ไปพักผ่อนอย่างชิวๆ ชมบรรยากาศ บางครั้งเรามีมาม่า มีอาหาร มีโกโก้ร้อน ไปนั่งชิวๆ ชมบรรยากาศ​ผมคิดว่า ความสุขของผม คือการนั่งเฉยๆ ท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้แหละ

สุดท้าย ภาพสีน้ำดั่งภาพวาดนั้นมีอยู่ทุกหนแห่งที่นี่ ดั่งเราหลุดเข้าไปในเมืองสีน้ำยังไงยังงั้น วันนึงผมก็คิดว่า ที่เค้าทำได้เพราะประชากรน้อยกว่างานที่มีหรือเปล่านะ ทำให้คนไม่อดอยาก มีที่ทำกิน หรือเพราะอะไรกันนะ ถ้าประเทศเราลดจำนวนประชากรลงสิบเท่า เราจะมีภาพเมืองเป็นเหมือนเค้าได้หรือเปล่ากันนะ เราจะมีการท่องเที่ยวที่แพงได้หรือเปล่านะ ในเมื่อบ้านเรา ออกจะเด่นในเรื่องบริการเมื่อเทียบกับโลก วิวเราก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากันเลย ทำไมเราถึงให้ค่าตัวของการกิน ของการเที่ยว ถูกกว่าเมืองของโลกนะ ก็เป็นคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจต่อไป

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *